7 กลยุทธ์เริ่มวิ่งง่าย ๆ สบายขา

ในยุคโควิดที่ทุกคนต่างนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หน้าทีวี หรือนอนเล่นไปวัน ๆ โดยไม่ได้ออกไปไหนเลย การจะกลับมาออกกำลังกายอีกครั้งหลังไม่ได้ใช้ชีวิตแบบปกติมาหลายปีก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลาย ๆ คน วันนี้ เรามีกลยุทธ์ 7 แบบที่จะช่วยทำให้ทุกคนสามารถกลับมาเริ่มออกกำลังกายอีกครั้ง หรือช่วยให้คนที่ออกกำลังอยู่แล้วสามารถยกระดับการออกกำลังให้ดีขึ้นไปอีก

  1. ค้นหาเป้าหมายที่บันดาลใจเรา

แน่นอนว่าการเริ่มต้นออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ยาก ถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ดึงดูดใจเป็นพิเศษ เราก็อาจจะไม่มีแรงดึงดูดให้ออกไปวิ่งกัน เพราะฉะนั้น เราควรกำหนดเป้าหมายก่อนว่า เราต้องการวิ่งเพื่ออะไร เพื่อลดน้ำหนัก เพื่อออกกำลังขา หรือแม้กระทั่งเพื่อฆ่าเวลา ถ้าเรามีเป้าหมายเมื่อไหร่ ก็จะสามารถทำให้เรามองเห็นภาพรวมและก้าวไปถึงมันได้ไม่ยาก

  1. อย่าวิ่งจนเกินตัว

เรามักจะถูกสอนมาจากครูพละที่โรงเรียนว่า การวิ่งต้องวิ่งให้เร็ว และเราก็มักจะต้องสอบเก็บคะแนนและวัดสมรรถภาพจากการวิ่งให้เร็วที่สุด ทั้งที่จุดประสงค์ของการวิ่งหรือการออกกำลังกายนั้น มันไม่ใช่เป็นเพื่อทำให้เราเหนื่อยหอบจนหมดแรงทำอะไรต่อไม่ได้ แต่มันควรจะเป็นการกระตุ้นร่างกายให้ตื่นตัว เพราะฉะนั้น ถ้าวิ่งแล้วรู้สึกเหนื่อย ก็จงลดความเร็วลงมาวิ่งเหยาะ ๆ อย่าฝืนร่างกาย

  1. ก้าวเท้านาทีละ 180 ก้าว

ก้าวให้เท้ากระแทกพื้นวินาทีละ 3 ครั้ง อาจจะฟังดูยาก แต่การวิ่งแบบนี้จะเป็นการบังคับให้ร่างกายสามารถคุ้นชินกับความเร็วของการวิ่งได้เรื่อย ๆ จนสามารถวิ่งได้เร็วที่สุด นอกจากนี้ การที่เราโฟกัสไปที่จำนวนก้าว ก็อาจจะทำให้เราไม่โฟกัสกับความเหนื่อยล้าและทำให้เราพัฒนาทักษะตัวเองได้อย่างไม่รู้ตัว

  1. วิ่งตามเส้นทางเทรล

การออกกำลังกายกลางธรรมชาติเป็นกิจกรรมที่มาพร้อมกับคุณประโยชน์ในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ รวมถึงเส้นทางที่มีหลากหลายอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นพื้นหินขรุขระ พื้นดินลื่น ๆ หรือแม่น้ำลำคลอง ซึ่งจะทำให้เราวิ่งช้าลงและสามารถรักษาความฟิตได้นานด้วย

  1. อย่าลืมเติมพลังงานระหว่างวิ่ง

อย่าคิดว่าถ้าเราจะออกไปวิ่ง 1 ชั่วโมงแล้วเราจะไปตัวเปล่าสบายใจได้ ร่างกายของเราเองก็เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้า ใช้งานหนักเป็นเวลานานต่อเนื่องก็อาจจะเครื่องร้อน แบตหมดได้ เพราะฉะนั้น เตรียมเกลือแร่ ขนมคำเล็ก ๆ ไปบูสท์พลังงานในระหว่างวิ่งบ้างก็จะช่วยยืดเวลาออกกำลังของเราออกไปได้อีก

  1. สร้างนิสัยให้เกิดความต่อเนื่อง

การวิ่งเป็นนิสัยเป็นการเปิดโอกาสให้ร่างกายของเราได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อและพลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าทำไมถึงมีคุณลุงคุณป้าในวัยเหยียบ 50 ยังสามารถวิ่งไกล ๆ ได้ไม่อายหลาน ๆ ก็เพราะว่าร่างกายคุ้นชินกับสภาพการวิ่งและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดแล้วนั่นเอง

  1. หาวันพักผ่อนบ้าง

การออกกำลังกายหนัก ๆ ทุกวันไม่ใช่เรื่องดี หลังออกกำลังกายหนักในแต่ละวัน วันถัดไปเราควรจะออกกำลังกายให้เบาที่สุด เพราะร่างกายของเรากำลังฟื้นฟูจากการออกกำลังกายเมื่อวาน การออกกำลังกายหนักซ้ำสองเข้าไปอีกก็จะทำให้ร่างกายของเราฟื้นฟูไม่เต็มที่และเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บได้

ซึ่งในวันพักผ่อน ก็ต้องหาอะไรสนุก ๆ ตื่นเต้นเร้าใจมาทำให้ไม่เบื่อ ขอแนะนำให้รู้จักกับ FUN88 Thai ซึ่งเต็มไปด้วยเกมคาสิโนยอดนิยมเกิน 1,000 เกม ที่สามารถเล่นได้ง่ายผ่านคอมพิวเตอร์หรือผ่านอุปกรณ์ทั้งระบบไอโอเอสและแอนดรอยด์ เรียกได้ว่าเล่นกันจนลืมเบื่อกันเลยทีเดียว ลืมเบื่อได้แต่อย่าลืมวิ่งกันนะ

3 เหตุผลที่ใคร ๆ ก็เลือกกีฬาวิ่งเป็นงานอดิเรก

งานอดิเรก คือ กิจกรรมที่คนเราเลือกทำเมื่อมีเวลาที่ว่างเว้นจากงานหลัก เป็นงานที่ทำเพราะความชื่นชอบ ไม่ได้ทำเพราะเป็นหน้าที่ หรือจำเป็นต้องทำเพราะมีคนคอยบอกคอยบังคับ ในสังคมของการอยู่อาศัยร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทยหรือต่างประเทศ ต่างก็มีงานอดิเรกหลากหลายชนิดให้เลือกทำ ซึ่งหนึ่งในงานอดิเรกที่หลายคนชื่นชอบก็คือการออกกำลังกายด้วยการเลือกเล่นกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่ง และประเภทกีฬาที่ผู้คนให้ความสนใจและหันมายึดเป็นความชอบ ความหลงใหล เป็นงานอดิเรกที่รัก ชนิดที่ว่าว่างเมื่อไรเป็นต้องหาเวลาไปทำก็คือ “กีฬาวิ่ง” นั่นเอง เราไปดูกันดีกว่าว่า 3 เหตุผลที่ใคร ๆ ต่างก็เลือกกีฬาวิ่งเป็นงานอดิเรกมีอะไรกันบ้าง

1.อุปกรณ์น้อย ทำได้ทันที ไม่ต้องมีเพื่อน ก็สามารถวิ่งคนเดียวได้ เชื่อแน่ว่าสำหรับคนชอบออกกำลังกายเป็นงานอดิเรก จะต้องชื่นชอบกีฬาวิ่งนี้อย่างแน่นอน เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ การวิ่งนั้น แค่มีรองเท้าวิ่งดีดีซักคู่ ก็สามารถที่จะออกวิ่งกันได้ง่าย ๆ กันแล้ว แต่จะเลือกวิ่งแบบ Indoor  Outdoor  City Run หรือวิ่ง Trail ก็เลือกได้ตามความสะดวก และความชื่นชอบได้เลย

2.นอกจากเป็นงานอดิเรกที่ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้ว ยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงดีอีกด้วย อย่างที่ทราบกันดีว่างานอดิเรกบางอย่างให้ความผ่อนคลาย บางอย่างให้ความสร้างสรรค์ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ผู้คนมากมายอยากมีสุขภาพดี จะชื่นชอบกิจกรรมประเภทกีฬาวิ่ง เพราะกีฬาชนิดนี้นั้นให้ประโยชน์มากมาย และช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยทำให้ระบบหัวใจทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ชีวิตที่ดีนั้นเริ่มต้นที่การมีสุขภาพที่แข็งแรง ดังนั้นกีฬาวิ่งจึงเป็นงานอดิเรกที่ถือได้ว่าตอบโจทย์คนหนุ่มสาวสมัยใหม่ที่หันมาให้ความสนใจ กับการรักษาสุขภาพเพื่อลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้นั่นเอง

3.กีฬาวิ่งเป็นงานอดิเรกที่ช่วยให้คนเราได้ฝึกสมาธิ และวินัยในตนเองได้เป็นอย่างดี เนื่องจากการวิ่งนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นการอยู่กับตัวเอง โฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ การก้าวขาเพื่อออกวิ่งในแต่ละก้าวนั้นช่วยให้ผู้วิ่งมีโอกาสได้ฝึกการใช้สมาธิ ได้ฝึกการอยู่กับตัวเอง ฝึกการจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ตั้งใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยฝึกความมีวินัยได้อีกหนึ่งวิธี โดยเฉพาะคนที่มีเป้าหมายจากการวิ่ง อย่างมีเป้าหมายเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งในรายการแข่งขันต่าง ๆ หรือจะเป็นการวิ่งเพื่อการลดน้ำหนักก็ตาม หากอยากสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ การมีวินัยในการฝึกซ้อมก็เป็นเรื่องสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้

และสำหรับใครที่กำลังมองหากิจกรรมใหม่ ๆ หรืองานอดิเรกใหม่ ๆ มาทำกันในช่วงเวลาว่างแล้วนั้น ก็อย่าลืมนำเอากีฬาวิ่งมาเป็นหนึ่งในตัวเลือกกันดูบ้าง ไม่แน่ว่าคุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่หลงรักการวิ่งขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้

4 ศัพท์วิ่งที่นักวิ่งมือใหม่จำเป็นต้องรู้

วงการกีฬาวิ่งในประเทศไทยบ้านเรานั้น เป็นหนึ่งในงานอดิเรกที่ได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่องจากผู้คนมากมายหลากหลายอายุ ทั้งหญิงชาย ถึงแม้ว่าจะมีเหตุให้รายการวิ่งต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักการจัดงานไปบ้างในปี 2020 นี้ก็ตาม เนื่องจากประชากรทั่วทั้งโลกต้องเจอกับปัญหาโรคระบาดร้ายแรงอย่างโรคโควิด-19 ที่ยังไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถคิดค้นวัคซีนป้องกันหรือรักษาเจ้าโรคนี้ได้อย่างชะงัดนั่นเอง แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มต้นจะเข้ามาในวงการวิ่งนี้ ยังคิดว่าตนเองนั้นยังเป็นมือใหม่มาก ๆ ในวงการวิ่ง ระหว่างที่รอให้สถานการณ์ของโลกกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ ก็อาจจะใช้เวลานี้ซุ่มซ้อมการวิ่ง และศึกษาข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องทราบทั้งหมดเกี่ยวกับการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งในประเภทต่าง ๆ หรือคำศัพท์เกี่ยวกับการวิ่งต่าง ๆ ไปพลาง ๆ ก่อน ซึ่งบทความนี้ก็ได้นำเอา 4 ศัพท์วิ่งที่นักวิ่งมือใหม่จำเป็นต้องรู้มาฝากกัน

  • Pace (เพซ) คือคำที่ใช้บ่งบอกถึงระยะเวลาที่ผู้วิ่งใช้ในการวิ่งเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร หากนักกีฬาวิ่งได้ Pace 8 แสดงว่านักกีฬาคนนั้นวิ่งไปเป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร ใช้เวลาไป 8 นาที ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายิ่ง Pace มีค่าน้อยเท่าไร แสดงว่านักวิ่งคนนั้น ๆ วิ่งได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น  โดยทั่วไปนักวิ่งจึงมักใช้ Pace เป็นตัวช่วยในการฝึกซ้อมการวิ่ง เพื่อบ่งบอกว่าสมรรถภาพในการวิ่งแต่ละครั้งของตนนั้นเป็นอย่างไร และโดยปกติแล้วนักวิ่งมืออาชีพส่วนใหญ่มักจะวิ่งให้ได้ตาม Pace ที่ฝึกซ้อมมา เพื่อไม่เป็นการฝืนร่างกายจนเกินไปนั่นเอง 
  • Pacer (เพซเซอร์) นอกจากนี้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับ Pace ก็มีอีกหนึ่งคำ คือ Pacer (เพซเซอร์) ซึ่งหมายถึง ผู้ที่ทำหน้าที่ควบควบคุมความเร็วในการวิ่งของการแข่งขันด้วย Pace ที่สม่ำเสมอ ส่วนใหญ่ผู้ควบคุมเวลามักใช้ลูกโป่งสีต่าง ๆ ที่มีตัวเลขของระยะทางที่เหลือที่คาดว่านักวิ่งจะเข้าถึงเส้นชัยติดเอาไว้ ดังนั้นสำหรับนักวิ่งมือใหม่ที่กลัวว่าตนจะใช้เวลาวิ่ง Cut off time ก็อาจจะพยายามวิ่งไปกับกลุ่มของ Pacer เพื่อเป็นการให้กำลังใจตนเองว่าหากไม่หลุดจากกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็น Finisher ได้สำเร็จนั่นเอง
  • Cut off time คือ ระยะเวลาสูงสุดที่นักกีฬาจะสามารถใช้วิ่งจากจุดเริ่มต้นเข้าสู่เส้นชัยและยังคงได้ชื่อว่าวิ่งครบระยะตามเวลาที่กำหนด ซึ่งแน่นอนว่าหากนักวิ่งใช้ระยะเวลาในการวิ่งเกินไปจาก Cut off time ที่กำหนด ก็จะถือว่านักวิ่งผู้นั้นไม่ผ่านเกณฑ์เป็นผู้ชนะได้รับเหรียญในการวิ่งรายการนั้น ๆ ได้ หรือที่ศัพท์วิ่งเรียกกันว่า DNF (Do Not Finish) นั่นเอง ซึ่งนอกจากการวิ่งเกินเวลาสูงสุดที่สามารถใช้ได้ในการวิ่งแล้วนั้น DNF อาจจะมีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่น ๆ ได้ เช่น นักวิ่งเกิดมีอาการบาดเจ็บขณะวิ่ง ทำให้ไม่ต้องยุติการวิ่งกลางคัน เป็นต้น
  • Finisher และคำศัพท์สำคัญที่นักวิ่งมือใหม่ทุกคนจะไม่รู้จักไม่ได้เป็นอันขาด ก็คือคำว่า Finisher นั้นเอง ซึ่งคำ ๆ นี้มีความหมายว่านักกีฬาวิ่งที่เข้าแข่งขันในรายการวิ่งรายการใดรายการหนึ่งเป็นผู้ที่วิ่งได้ครบระยะทางการแข่งขัน และใช้ระยะเวลาในการวิ่งต่ำกว่า Cut off time นั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 4 คำศัพท์วิ่งที่ได้นำมาฝากคุณผู้อ่านที่มีงานอดิเรกที่รักและชื่นชอบเป็นการวิ่งทุกคนกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการช่วยไขข้อข้องใจของใครหลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อย

รู้จักกับระยะการวิ่งเริ่มต้นที่มือใหม่วงการวิ่งหลาย ๆ คน อยากพิชิตมาให้ได้

กีฬาวิ่งเป็นกีฬาที่ใครหลาย ๆ คนชื่นชอบ เนื่องจากกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากผู้คนในสังคม ซึ่งต้องบอกเลยว่ามีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้กีฬาชนิดนี้เป็นที่น่าสนใจ อีกทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งของงานอดิเรกสำองงานอดิเรกหนึ่งด้วยใจ และยังสามารถใช้ประกอบการวางแผนการฝึกซ้อมวิ่รวิ่งขนาดนี้สร้างความท้าทายให้กับพวกเค้าเป็นอย่างมากรใช้ยานพาหรับคนที่เพิ่งจะหันมาสนใจหรือใส่ใจกับสุขภาพร่างกายของตนเอง การวิ่งนั้นใคร ๆ ก็ทำได้ แต่การจะทำให้ดี ฝึกซ้อมจนประสบความสำเร็จได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากซะจนเกินไปนัก ถ้าหากมีความตั้งใจและอาศัยการลงมือทำที่มากเพียงพอ

สำหรับใครที่ยังเป็นมือใหม่ในวงการวิ่งก็อย่าเพิ่งท้อถอย หรือหมดกำลังใจไปเสียก่อน เพราะอย่างที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็ทราบกันดีว่ากว่าที่คน ๆ หนึ่งจะสามารถจบมาราธอนครั้งแรกในชีวิตของพวกเค้าได้นั้น ต้องผ่านการฝึกซ้อม ความอดทน ความตั้งใจมากมายขนาดไหน แอบกระซิบเลยว่าบทความนี้จะมาไขข้อข้องใจให้ทุกท่านได้ทราบกันว่าระยะการวิ่งในประเภทต่าง ๆ ที่มีระยะทางน้อยกว่าการวิ่งมาราธอนนั้นมีอะไรกันบ้างไปดูกันเลย

1. Fun Run เป็นประเภทรายการวิ่งที่เหมาะมาก ๆ สำหรับผู้เริ่มต้น มือใหม่ทั้งหลายของวงการวิ่งต้องเคยผ่านรายการนี้มาเป็นรายการแรก ๆ ของชีวิตการวิ่งอย่างแน่นอน เนื่องจาก Fun Run เป็นรายการที่ผู้วิ่งต้องวิ่งเป็นระยะทางประมาณ 3-5 กิโลเมตร ซึ่งหากใครฟังเผิน ๆ ก็อาจจะคิดว่าทำไมช่างเป็นระยะทางที่สั้นขนาดนี้ แต่บอกเลยว่าสำหรับมือใหม่แล้วนั้น 3-5 กิโลเมตรนี่ ไกลไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว ดังนั้นในการวิ่งประเภทนี้จึงมักจะเห็นนักวิ่งที่มีอายุหลากหลายมาเข้าแข่งขัน เพราะถือเป็นด่านแรกของการทดสอบว่าเรารักการวิ่ง และยังอยากที่จะวิ่งในประเภทรายการอื่น ๆ อีกต่อไปรึเปล่า

2. Mini half-marathon รายการนี้ผู้เข้าแข่งขันจะต้องวิ่งเป็นระยะทางประมาณ 10.5 กิโลเมตร ซึ่งถ้าหากบอกว่า Fun Run เป็นรายการของผู้เริ่มต้น การจะกล่าวว่า Mini half-marathon เป็นรายการของคนที่คร่ำหวอดในวงการของการวิ่งมาซักระยะหนึ่งก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องแปลกหรือกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เนื่องจากบางคนนั้นพอได้ลงเข้าแข่งขันวิ่งมาซักระยะหนึ่งก็ขยับจากรายการวิ่งประเภท Fun Run มาเป็นรายการนี้ แต่กับบางคนเค้ายังสบายใจที่จะทดสอบร่างกายตนเองด้วยการวิ่งเพียงแค่ 3-5 กิโลเมตรไปก่อน เพราะยังอยากทำให้แน่ใจจริง ๆ ว่าหากเพิ่มระยะทางในการแข่งขันวิ่งแล้วนั้น ตนจะยังสามารถเข้าเส้นชัยได้ในระยะเวลาที่กำหนดนั่นเอง

3. Half-marathon รายการวิ่งประเภทนี้ ถือเป็นระยะทางการวิ่งที่น้อยกว่าการวิ่ง Marathon รายการสุดท้ายที่ผู้คนให้ความสนใจอยากมาทดสอบพละกำลังของตนเองว่าจะสามารถเอาชนะใจตนเองผ่านด่านนี้เพื่อไปพิชิตรายการแข่งขัน Marathon ต่อไปได้หรือไม่ โดยรายการวิ่งประเภทนี้นั้นมีระยะทางการวิ่งอยู่ที่ประมาณ 21 กิโลเมตร ซึ่งระทางเท่านี้สำหรับคนที่ไม่อินการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ก็อาจจะกล่าวค่อนขอดเอาเสียว่าระยะทางขนาดนี้ควรใช้รถแทนการเดินหรือการวิ่งจะดีกว่า แต่บอกเลยว่าสำหรับคนที่รักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าจะหน้าเก่าหน้าใหม่ในวงการวิ่งนั้น ระยะการวิ่งขนาดนี้สร้างความท้าทายให้กับพวกเค้าไม่น้อยเลยทีเดียว

รู้อย่างนี้กันแล้ว มือใหม่วงการวิ่งทุกคนคงจะพอทราบรายละเอียดประเภทการวิ่งระยะต่าง ๆ กันเพิ่มมากขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกสมัครโครงการวิ่งประเภทที่ตนถนัดและสนใจ และยังสามารถใช้ประกอบการวางแผนการฝึกซ้อมวิ่งได้ดีอีกทางหนึ่ง ช่วยให้คุณสามารถทำงานอดิเรกที่คุณรักอย่างกีฬาวิ่งนี้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้

รู้หรือไม่ Virtual Run คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปี 2020 นี้ เราทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่างโควิด-19 กันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้กระทั่งในวงการจัดรายการแข่งขันการวิ่งต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วหากผู้คนมารวมตัวกันในที่ใดที่หนึ่งที่ใกล้กันเกินกว่าระยะ 2 เมตร ซึ่งแน่นอนว่าปกติแล้วคนที่มาแข่งขันวิ่งตามรายการต่าง ๆ นั้น จะต้องใกล้กันกับผู้เข้าแข่งขันรายอื่นอยู่แล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นในยุค New Normal ยุคที่ทุกคนจำเป็นที่จะต้องมีระยะห่างทางสังคมนั้น การจัดรายการแข่งขันวิ่งจะต้องยังสามารถดำเนินไปได้ในอีกหนึ่งรูปแบบ นั้นคือการจัดการแข่งขันรายการวิ่งแบบใหม่ที่เรียกกันว่า Virtual Run และบทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับรายการวิ่งประเภทนี้กันว่ามันคืออะไร มีรูปแบบการจัดงานแบบใด และมีประโยชน์อย่างไร

รู้หรือไม่ Virtual Run คืออะไร?

ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว Virtual Run เริ่มมีการพัฒนาและใช้งานบ้างบางส่วนมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้าที่ COVID-19 จะเริ่มระบาดเสียอีก แต่กระนั้นก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักจนกระทั่งการมาถึงของเจ้าโรคร้ายชนิดใหม่นี้ Virtual Run คือการจัดการแข่งขันวิ่งแบบออนไลน์โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่มีให้บริการอยู่บนระบบออนไลน์โดยลิงค์ข้อมูลผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ที่มีระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก เพื่อให้สามารถตรวจสอบระยะทางการเคลื่อนที่ การวิ่ง ตลอดจนอัตราการวิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้นักวิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบหรือมีงานอดิเรกเป็นการวิ่งสามารถที่จะเข้าร่วมการแข่งขันวิ่งได้จากทั่วทุกมุมโลก กล่าวคือไม่จำเป็นต้องนำคนมารวมกันอยู่ในที่เดียวกันก็ได้ แค่ต่างคนต่างวิ่งแล้วใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวการวิ่งส่งไปที่เจ้าของรายการวิ่ง เท่านี้นักวิ่งทั้งหลายต่างก็สามารถที่จะยืนยันการวิ่งของตนได้เสมือนไปวิ่งในงานอยู่จริง ซึ่ง Virtual Run นี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก

รู้หรือไม่ Virtual Run มีประโยชน์อย่างไร?

1.ช่วยประหยัดค่าเดินทางในการมาเข้าร่วมกันแข่งขันวิ่ง เพราะสามารถวิ่งที่ไหนก็ได้

2.สามารถรองรับจำนวนผู้เข้าแข่งขันได้สูงกว่าการจัดรายการวิ่งแบบปกติ

3.เหมาะสำหรับคนที่ชอบวิ่ง แต่ไม่ค่อยมีเวลา เพราะสามารถสะสมระยะทางการวิ่งได้

4.เป็นแรงจูงใจที่ดีในการวิ่ง เพราะสามารถวัดผลและตั้งเป็นเป้าหมายในแต่ละการวิ่งได้

5.ช่วยลดโอกาสในการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่าง COVID-19

6.ประหยัดค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการจัดงานวิ่ง เช่น ค่าสถานที่ ค่าพนักงาน เป็นต้น

7.นักวิ่งมีอิสระในการเลือกสถานที่วิ่งที่ตนเองชื่นชอบมากขึ้น

8.เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการวิ่ง และมีงานอดิเรกเป็นการสะสมเหรียญรางวัลที่ได้จากการวิ่ง เพราะสามารถสมัครเข้าแข่งขัน Virtual Run ได้หลายรายการพร้อม ๆ กัน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับสาระความรู้ที่เกี่ยวข้องกับ Virtual Run ที่ได้นำมาฝากกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนักวิ่งทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีการวิ่งเป็นงานอดิเรก

ชีวิตดีเราจะดีขึ้นได้อย่างไรจากการวิ่ง

เป็นที่ทราบกันดีว่ากีฬาทุกชนิดนั้นต่างก็ให้ประโยชน์กับผู้เล่นไม่มากก็น้อย ยิ่งหากใครรักและชื่นชอบการออกกำลังกายจนยึดกีฬาชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นงานอดิเรกของตนด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งได้รับประโยชน์จากการออกกำลังกายไปแบบเต็ม ๆ ซึ่งกีฬาวิ่งก็เป็นหนึ่งในกีฬาที่สำหรับบางคนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นกีฬาที่เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนความคิด mind set หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่าง ๆ ไปตลอดกาล บทความนี้จะพาทุกท่านไปดูกันซิว่าคนที่เค้ามีงานอดิเรกเป็นการวิ่งนั้นจะช่วยให้ชีวิตของพวกเค้าดีขึ้นอย่างไรจากการวิ่ง ไปศึกษากันได้เลย

1.ร่ายกายแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น เฉกเช่นเดียวกับกีฬาชนิดอื่น ๆ คนที่มีการวิ่งเป็นงานอดิเรก ก็ย่อมที่จะมีโอกาสได้ออกกำลังกายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งทุกคนทราบดีว่าการออกกำลังกายนั้นเป็นยาดีสำหรับร่างกายมากขนาดไหน กล่าวคือ นอกจากจะเป็นการช่วยป้องกันโรคอ้วนซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ ได้แล้ว การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขออกมาหลังออกกำลังกายอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการลดความเครียดได้เป็นอย่างดี และคนที่วิ่งเป็นประจำก็มักจะนอนหลับได้อย่างสนิท ซึ่งการนอนหลับได้ลึกและเต็มอิ่มเป็นการนอนที่มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพมากเพียงพอส่งผลให้ร่างกายได้พักฟื้นและซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ที่เสียหายไปจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน

2.การวิ่งช่วยให้ชีวิตมีวินัย ซึ่งชีวิตที่มีวินัยเป็นชีวิตที่ดี แน่นอนว่าคนที่รักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากจะวิ่งเพื่อเป็นการออกกำลังกายแล้ว เค้าเหล่านั้นอาจจะมีเป้าหมายอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างเช่นการเข้าร่วมแข่งขันในรายการวิ่งต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าการจะวิ่งให้ผ่านระยะทางต่าง ๆ ภายในระยะเวลาตามที่รายการวิ่งแต่ละรายการกำหนดนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ เนื่องจากจะต้องมีการฟิตซ้อม ฝึกฝนร่างกายมาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง ซึ่งการขยันหมั่นฝึกซ้อมนี้เองที่จะช่วยสร้างวินัยให้กับผู้วิ่งไปในตัว และนิสัยการมีวินัยก็จะติดตัวไปเป็นนิสัยปกติของคน ๆ นั้น ทำให้ชีวิตของเค้ามีแนวโน้มดีขึ้นได้นั่นเอง

3.การวิ่งช่วยให้ชีวิตมีวินัย ซึ่งชีวิตที่มีวินัยเป็นชีวิตที่ดี แน่นอนว่าคนที่รักการวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ นอกจากจะวิ่งเพื่อเป็นการออกกำลังกายแล้ว เค้าเหล่านั้นอาจจะมีเป้าหมายอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างเช่นการเข้าร่วมแข่งขันในรายการวิ่งต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งต้องบอกเลยว่าการจะวิ่งให้ผ่านระยะทางต่าง ๆ ภายในระยะเวลาตามที่รายการวิ่งแต่ละรายการกำหนดนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ เนื่องจากจะต้องมีการฟิตซ้อม ฝึกฝนร่างกายมาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง ซึ่งการขยันหมั่นฝึกซ้อมนี้เองที่จะช่วยสร้างวินัยให้กับผู้วิ่งไปในตัว และนิสัยการมีวินัยก็จะติดตัวไปเป็นนิสัยปกติของคน ๆ นั้น ทำให้ชีวิตของเค้ามีแนวโน้มดีขึ้นได้นั่นเอง

เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้ว หากใครอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ก็อย่าลืมเลือกการวิ่งไว้เป็นงานอดิเรกของตัวเองกันดูบ้าง ซึ่งของแบบนี้อาจจะได้ผลกับคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่หากมันจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้ชีวิตเราดีขึ้นก็เป็นสิ่งที่น่าทดลองทำดูไม่ใช่หรือ

4 นิสัยที่นักวิ่งมืออาชีพได้จากการวิ่ง

แน่นอนว่า “เงิน” อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นแรงจูงใจอันดับต้น ๆ ของนักวิ่งมืออาชีพ แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าการมีอาชีพวิ่งสำหรับบางคน คือ การสร้างนิสัยบางอย่างให้กับชีวิตของพวกเขา ซึ่งบางนิสัยก็อาจจะช่วยต่อยอดให้พวกเค้าพาตัวเองไปได้ไกลกว่าการมีอาชีพเป็นการวิ่งเพียงอย่างเดียวก็ได้ เราไปดู 4 นิสัยที่นักวิ่งมืออาชีพได้จากการวิ่งกันเลยดีกว่า

1.ความอดทน การวิ่งนั้นดูเผิน ๆ อาจจะเห็นว่าเป็นกีฬาที่ใคร ๆ ก็ทำได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเล่นกีฬาชนิดนี้ได้ดี เพราะกีฬาวิ่งต้องอาศัยการฝึกซ้อม ยิ่งหากอยากวิ่งได้ไกลขึ้น เร็วขึ้น ก็ต้องฝึกซ้อมเป็นอย่างหนัก และไม่ใช่ว่าออกวิ่งเพียงไม่กี่สัปดาห์ ไม่กี่เดือนจะสามารถประสบความสำเร็จได้ ดังนั้นความอดทนทั้งทางร่างกายและจิตใจจึงเป็นนิสัยสำคัญอย่างยิ่งที่นักวิ่งมืออาชีพจะต้องมี ไม่ว่าเค้าเหล่านั้นจะเคยมีเจ้านิสัยนี้กันมาก่อนการวิ่งหรือไม่ก็ตาม

2.ความมีวินัย กีฬาวิ่งเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่จะต้องมีการวางแผนการฝึกซ้อมที่แน่นอน และจะต้องมีการดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้อย่างเคร่งครัดเช่นกัน ซึ่งการจะทำอะไรให้ได้ตามเป้าหมายหรือแผนที่วางไว้นั้น สิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ คือ ความมีวินัย เพราะสิ่งนี้จะช่วยทำให้เรารู้ว่าเวลาไหนเราควรทำอะไร ป้องกันการผัดวันประกันพรุ่งออกไปได้ดีในระดับหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่นักวิ่งจะขาดไปไม่ได้ก็คือนิสัยของความมีวินัยนั่นเอง

3.ความมุ่งมั่น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่านักวิ่งอาชีพที่ดีทุกคนส่วนใหญ่จะมีนิสัยของความอดทนและความมีวินัยในการฝึกซ้อม แต่สิ่งที่จะทำให้การฝึกซ้อมนั้น ๆ มีประสิทธิภาพสูงสุดก็คือความมุ่งมั่น ความเอาจริงเอาจังในการฝึกการซ้อม การจดจ่ออยู่กับเป้าหมายที่ได้วางไว้ ไม่ไขว้เขวไปกับสิ่งยั่วยุต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทดสอบอยู่ตลอดเวลาทั้งตอนฝึกซ้อมและตอนที่ลงสนามแข่งจริง ความมุ่งมั่นเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้นักวิ่งประสบความสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้

4.กัดไม่ปล่อย ไม่ล้มเลิกกลางคัน นิสัยสำคัญอีกอย่างของนักวิ่งมืออาชีพก็คือการที่ตนเองมีความตั้งใจแน่วแน่ในเป้าหมาย แน่นอนว่าความมุ่งมั่นที่มีเป็นสิ่งจำเป็น แต่ความมุ่งมั่นนั้นจะต้องมีจนตลอดระยะเวลาการฝึกซ้อมและการแข่งขันด้วย ดังนั้นนิสัยกัดไม่ปล่อย การไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ การไม่ล้มเลิกกลางคัน ไม่ว่าจะเป็นการทำสิ่งใดก็ตามจึงเป็นสิ่งที่นักวิ่งทุกคนควรมี

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 4 นิสัยที่นักวิ่งมืออาชีพได้จากการวิ่ง ซึ่งอันที่จริงจะพูดว่าเป็นนิสัยที่ได้จากการวิ่งซะอย่างเดียวก็คงจะพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะนิสัยเหล่านี้นักวิ่งแต่ละคนอาจจะมีติดตัวมาอยู่ก่อนแล้วจากการอบรมเลี้ยงดู และการเติบโตขึ้นมา เพียงแต่กีฬาวิ่ง หรือการเป็นนักวิ่งมืออาชีพนี้เองที่ช่วยหล่อหลอมให้นิสัยเหล่านี้ชัดเจนและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และอย่างที่บอกไปแล้วว่านิสัยทั้ง 4 ที่กล่าวมานี้ต่างก็ล้วนเป็นหนึ่งในนิสัยของคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่พึงมี ดังนั้นนักวิ่งมืออาชีพที่มีนิสัยต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ในตัว อาจจะพาตัวเค้าเองประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นทางด้านการวิ่งหรือการใช้ชีวิตในด้านอื่น ๆ

หลากหลายปัจจัยในการเลือกรองเท้าวิ่งที่นักวิ่งมืออาชีพไม่รู้ไม่ได้

กีฬาวิ่งเป็นกีฬาที่ใช้อุปกรณ์ในการออกกำลังกายน้อยกว่ากีฬาชนิดอื่น ๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่าอุปกรณ์สำคัญจำเป็นอย่างเดียวที่คือมีก็คือรองเท้าคู่ใจที่ใช้ในการวิ่งนั่นเอง ดังนั้นข้อมูลสำคัญที่นักวิ่งมืออาชีพทุกคนจะต้องทำความเข้าใจ และศึกษาหาความรู้ก็คือทำอย่างไรถึงจะเลือกรองเท้าให้เหมาะกับรูปเท้าของตนเองมากที่สุด ทำอย่างไรถึงจะสามารถเลือกรองเท้าที่ช่วยส่งเสริมการวิ่งของตนเองให้ดีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้นบทความนี้จึงจะพาท่านผู้อ่านทุกท่านไปศึกษาความรู้เกี่ยวกับหลากหลายปัจจัยในการเลือกรองเท้าวิ่งที่นักวิ่งมืออาชีพส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีความรู้

ปัจจัยอะไรบ้างที่ใช้ในการเลือกรองเท้าที่ใช่และเหมาะกับตนเอง

แน่นอนว่านักกีฬาวิ่งมืออาชีพทุกคนอยากที่จะเอาชนะคู่แข่งด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นปัจจัยสำคัญของรองเท้าที่จะช่วยให้สามารถกำชัยชนะเหนือคู่แข่งได้มีอยู่ 2 ปัจจัยด้วยกัน ก็คือ รองเท้าที่ใส่แล้วช่วยให้วิ่งได้เร็วขึ้น ซึ่งความหมายก็คือ จะต้องเป็นรองเท้าที่มีน้ำหนักเบานั่นเอง เพราะได้มีการศึกษาพบว่ายิ่งรองเท้าเบาเท่าไหร่ ยิ่งช่วยลดพลังงานที่จะใช้ในการวิ่งลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือรองเท้าที่ใช้สำหรับการวิ่งนั้นจะต้องสามารถรองรับการกระแทกที่เกิดขึ้นขณะการวิ่งได้อย่างดีเยี่ยม เพราะหากเกิดการบาดเจ็บขึ้นระหว่างการแข่งขันอาจจะทำให้แพ้คู่แข่งได้โดยไม่จำเป็นนั่นเอง ดังนั้นเวลาเลือกรองเท้าวิ่งจึงต้องจำอยู่เสมอว่า 2 ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาคืออะไร

รูปแบบเท้า และลักษณะมุมการลงเท้าของการวิ่งในแต่ละครั้ง

เนื่องจากรูปเท้าของคนเราแตกต่างกัน บางคนมีหน้าเท้าแคบ หลายคนมีหน้าเท้ากว้าง ดังนั้นการเลือกรูปแบบรองเท้าให้เข้ากับรูปแบบเท้าของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะหากเลือกได้ไม่เหมาะกับสรีระเท้าแล้วก็รังแต่จะทำให้การวิ่งนั้นเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้โดยง่าย อีกทั้งยังไม่สามารถดึงเอาศักยภาพการวิ่งออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากลักษณะของเท้าที่ต้องคำนึงถึงแล้ว ลักษณะมุมของการลงเท้าของการวิ่งในแต่ละครั้งก็มีความสำคัญมากเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้นลักษณะการลงเท้าถูกแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ มุมปกติ (Neutral) มุมเท้าล้ม (Overpronate) และมุมข้อเท้าบิดไปด้านนอก (Suprination) ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญที่นักวิ่งมืออาชีพทุกคนควรจะรู้เอาไว้เวลาไปเลือกซื้อรองเท้าในแต่ละครั้ง

นอกจากปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ใช้ในการเลือกรองเท้าวิ่งอีก เช่น รูปแบบการลงน้ำหนักเท้า ว่าลงน้ำหนักไว้ที่หน้าเท้า กลางเท้า หรือส้นเท้า ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกสิ่งเหล่านี้ให้แก่เราได้ นักวิ่งจำเป็นที่จะต้องรู้จักการฝึกสังเกตตนเอง เพื่อคอยปรับปรุงพัฒนาหรือหาวิธีต่อยอดเพิ่มประสิทธิภาพของการวิ่งให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะการจะเป็นนักกีฬาวิ่งมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากความขยันในการหมั่นฝึกซ้อมร่างกายแล้ว ความฉลาดในการวางแผนการซ้อม การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน และหากนักวิ่งคนไหนมีสิ่งเหล่านี้ติดตัว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมถึงอย่างแน่นอน

จังหวะการหายใจของนักวิ่งมืออาชีพเป็นอย่างไรไปดู

กีฬาวิ่ง เป็นกีฬาที่ต้องมีการวางแผนการซ้อมอย่างเป็นระบบระเบียบ เช่นเดียวกันกับกีฬาชนิดอื่น ๆ โดยปกติแล้วนั้นสิ่งที่นักวิ่งมืออาชีพให้ความสำคัญกับแผนการซ้อม จะมีด้วยกันหลัก ๆ คือ ความแข็งแรงของร่างกาย ความพร้อมในเรื่องของการเตรียมตัว และเทคนิคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการก้าวขากว้างยาว ช้าเร็ว การเร่งหรือผ่อนฝีเท้า และอีกหนึ่งสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อการวิ่งที่จะต้องมีการฝึกให้คุ้นชินกันเสียตั้งแต่ตอนซ้อมวิ่ง ก็คือ เทคนิคการหายใจนั่นเอง เราไปดูกันดีกว่าเทคนิค หรือจังหวะการหายใจที่นักวิ่งมืออาชีพมักนิยมใช้กันเป็นอย่างไรกันบ้าง

เทคนิคการหายใจที่นักวิ่งส่วนใหญ่นิยมเลือกใช้

เทคนิคการหายใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อนักวิ่ง เพราะขณะวิ่งต้องใช้พละกำลังในการออกกำลังขา และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ดังนั้นหากหายใจไม่ถูกวิธี ไม่สอดคล้องกับการวิ่งอย่างที่ได้เคยซ้อมมาอาจจะทำให้ระบบหายใจมีปัญหาและส่งผลต่อการวิ่งได้นั่นเอง โดยส่วนใหญ่แล้วเทคนิคการหายใจนั้นมีด้วยกัน 2 วิธี ดังนี้

1.การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณซี่โครง โดยขณะที่เราหายใจเอาอากาศเข้าไปในร่างกายนั้น บริเวณส่วนหน้าอกจะขยายและบริเวณที่เป็นหน้าท้องของเราจะเกิดการยุบตัว กรณีหายใจออกหน้าท้องจะมีลักษณะขยายออกและหน้าอกของเราจะยุบตัว หากนักวิ่งที่วิ่งด้วยการหายใจแบบนี้จะมีปัญหาเรื่องการจุกเสียดบริเวณซี่โครงหรือชายโครงได้ง่าย ทำให้การหายใจในลักษณะนี้จึงไม่เป็นที่นิยมสำหรับนักวิ่งมืออาชีพทั้งหลายเท่าไหร่นัก

2.การหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อบริเวณกระบังลม ซึ่งวิธีการหายใจแบบนี้เป็นวิธีการที่นักวิ่งมืออาชีพส่วนใหญ่เลือกใช้ เนื่องจากขณะที่หายใจเข้านั้นกล้ามเนื้อบริเวณกระบังลมจะเลื่อนตัวลงไปบริเวณด้านล่างทำให้อากาศสามารถที่จะเคลื่อนที่เข้ามาในปอด ส่งผลให้หน้าท้องขยาย ขณะที่หากหายใจออกกล้ามเนื้อกระบังลมจะเลื่อนตัวยกสูงขึ้นเป็นการดันอากาศให้ออกไปด้านนอกร่างกาย ดังนั้นหน้าท้องจึงมีลักษณะยุบลง วิธีการนี้เป็นการหายใจที่ทำให้ไม่รู้สึกเสียดหรือว่าจุกบริเวณชายโครงเช่นเดียวกันกับการหายใจโดยใช้ซี่โครงนั่นเอง

จังหวะการหายใจที่นักวิ่งทุกคนต้องรู้จัก

เมื่อเรียนรู้เทคนิคการหายใจอย่างถูกต้องที่จะช่วยให้สามารถวิ่งได้เป็นระยะเวลานานขึ้นโดยไม่เกิดอาการจุกเสียดรบกวนกันไปแล้ว สิ่งต่อมาคือจังหวะการหายใจขณะวิ่งที่บอกเลยว่านักวิ่งทุกคนควรจะต้องรู้เอาไว้ใช้ปรับให้เข้ากับลักษณะการวิ่งของตนเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วนั้นจังหวะการหายใจที่นิยมกันมีด้วยกัน 2 แบบ ดังนี้

1. “จังหวะแบบเข้าสอง ออกสอง” หมายถึงการควบคุมจังหวะการหายใจขณะหายใจเข้าออกพร้อม ๆ กับการก้าวขาในการวิ่งซ้ายขวา กล่าวคือ หายใจเข้า 1 ครั้งให้ก้าว 2 ครั้ง ซ้ายครั้ง ขวาครั้ง และจังหวะการหายใจออกก็ทำเช่นเดียวกันกับการหายใจเข้า

2. “จังหวะแบบเข้าสาม ออกสอง” หมายถึงการควบคุมจังหวะการหายใจขณะหายใจเข้าออกพร้อม ๆ กับการก้าวขาในการวิ่งซ้ายขวาเป็นจังหวะเข้าสาม ออกสอง กล่าวคือ หายใจเข้า 1 ครั้งให้ก้าว 3 ครั้ง ซ้าย ขวา ซ้าย หรือ ขวา ซ้าย ขวา ตามความถนัดของแต่ละคน ส่วนหายใจออก 1 ครั้ง ให้ก้าว 2 ครั้ง จะเป็นซ้าย ขวา หรือ ขวา ซ้าย ก็ย่อมได้ทั้งนั้น

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความรู้เรื่องเทคนิคการหายใจที่ใช้ขณะวิ่งที่นำมาฝากท่านผู้อ่านทุกคนในวันนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจต่อไป

3 สิ่งต้องรู้สำหรับคนที่อยากเป็นนักวิ่งมืออาชีพ

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์กับคนทุกเพศทุกวัย เนื่องจากเป็นการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่จะตามมาเมื่อมีอายุมากขึ้นได้เป็นอย่างดี และในปัจจุบันคนหนุ่มสาวก็หันมาสนใจการออกกำลังกายด้วยกีฬาชนิดนี้กันเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นเทรนด์การออกกำลังกายสำหรับคนยุคใหม่เลยก็ว่าได้ ซึ่งสาเหตุก็คงจะหนีไม่พ้นความสะดวก ที่ไม่ต้องยุ่งยากในเรื่องของอุปกรณ์ประกอบการออกกำลังกายซักเท่าใด อย่างดีก็คงจะเป็นการเลือกซื้อรองเท้าวิ่งดีดีซักคู่กับใจที่อยากมีสุขภาพที่ดี

อย่างไรก็ตามกีฬาวิ่งนั้นไม่เพียงแต่ใช้ช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีได้เท่านั้น แต่ก็มีหลายคนที่หันมายึดเอากีฬาชนิดนี้เป็นทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริมเพื่อหาเงินสำหรับเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัว เราไปดูกันดีกว่าว่า 3 สิ่งที่ต้องรู้สำหรับนักอยากวิ่งมืออาชีพนั้นมีอะไรกันบ้าง

1.ร่างกายที่แข็งเรง คือ ต้นทุนที่แข็งแกร่ง แน่นอนว่าการจะทำให้ร่างกายพร้อมสำหรับการเป็นนักวิ่งมืออาชีพนั้น สิ่งสำคัญคือการทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง เพราะร่างกายที่แข็งแกร่ง คือต้นทุนสำคัญที่จะทำให้นักแข่งวิ่งทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างที่ตั้งใจได้ และหากทำได้ในระดับดีเยี่ยม เชื่อว่าจะต้องเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการวิ่งอาชีพได้ไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน

2.อยากวิ่งมืออาชีพต้อง “ท ท ท” ทำทันที กล่าวคือหาใช่มีแต่ความต้องการ คือ ความอยากทำอย่างเดียว แต่จะเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการลงมือทำ และไม่ใช่ทำเมื่อไรก็ได้ แต่ต้องเริ่มต้นทำทันที ทำอย่างจริงจังตั้งใจ ขยันหมั่นเพียรในการฝึกซ้อมร่างกาย ตลอดจนแสวงหาความรู้ที่ดี ๆ ที่จะมาช่วยเพิ่มพูนทักษะในการวิ่ง ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่จะทำให้การวิ่งทำได้ดีขึ้นและได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าการฝึกซ้อมกีฬาไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม การขยันฝึกซ้อมเป็นสิ่งสำคัญ แต่การฝึกซ้อมอย่างถูกวิธี มีลำดับขั้นตามวิธีการที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้การฝึกซ้อมมีประสิทธิภาพที่ดีเพิ่มมากขึ้นได้นั่นเอง

3.ความเร็วไม่ใช่คำตอบเดียวเสมอไป หลายคนที่เป็นนักอยากวิ่งมืออาชีพ อาจจะเคยหลงไปกับความคิดที่ว่ากีฬาวิ่งยิ่งวิ่งเร็ว ๆ ได้เก่งเท่าไหร่ เส้นชัยและชัยชนะก็น่าที่จะมีโอกาสคว้ามาได้โดยง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว รายการแข่งขันวิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะใกล้หรือไกลนั้น การวิ่งให้เร็วเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่คำตอบเดียวของคำถามที่ว่าทำอย่างไรถึงจะชนะ เพราะยิ่งวิ่งเร็วมากเท่าไหร่ หากมีการฝึกซ้อมมาอย่างไม่เพียงพอก็รังที่จะทำให้หมดแรงง่ายขึ้นเท่านั้น ความอึดของพละกำลังร่างกายตลอดระยะทางการแข่งขัน และความสม่ำเสมอในฝีเท้าต่างหากที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการคว้าชัยชนะมาครองในที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากว่าไม่มีการฝึกการซ้อมที่เคี่ยวกรำมากเพียงพอ ดังนั้นความเร็วสำคัญ แต่ปัจจัยอื่น ๆ ที่กล่าวมาก็เป็นส่วนประกอบที่จะมองข้ามไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 3 สิ่งต้องรู้สำหรับนักอยากวิ่งมืออาชีพ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งกับคนที่เพิ่งหันมาสนใจการวิ่งระยะเริ่มต้น หรือนักวิ่งที่ผ่านการแข่งขันมาแล้วบ้างไม่มากก็น้อย